เช็กประวัติการใช้อินเทอร์เน็ต บ่อยครั้งที่เด็กๆ มีความลับกับพ่อแม่เมื่อพวกเขาโตขึ้น การให้พื้นที่ส่วนตัวหรือระยะห่างแก่พวกเขาเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณก็ควรได้รู้ว่าพวกเขาพบเจอหรือมีเรื่องอะไรบ้าง หากคุณรู้สึกว่าลูกเริ่มมีความลับที่ไม่กล้าเอ่ยปากถามพ่อแม่ คุณอาจต้องลองเช็กประวัติการค้นหาในอินเทอร์เน็ตของพวกเราดู เพื่อจะได้รู้ในสิ่งที่ลูกอาจกำลังเผชิญอยู่ 5. ตั้งกฎบ้าง การตั้งกฎเกณฑ์ คือสิ่งสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก เช่น กำหนดเวลาสำหรับอาหารเย็น เวลาที่ลูกควรเข้านอน หรือเวลาที่พวกเขาควรจะกลับบ้านในยามดึก และอาจมีบทลงโทษด้วย หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎเหล่านั้น 6. ควบคุมพฤติกรรมเชิงลบของคุณ เพราะเด็กๆ เรียนรู้เกือบทุกอย่างจากผู้ปกครองในขณะที่เขาเติบโตขึ้น การที่คุณตะโกนใส่เขาหรือตีเขา มันอาจส่งผลเสียต่อจิตใจของลูกได้ พยายามสงบสติอารมณ์ในยามที่คุณโมโห และคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะทำอะไร เพื่อไม่ให้ลูกได้รับอิทธิพลด้านลบใดๆ ไปจากผู้ปกครองของเขาเอง 7. ต้องรู้ว่าลูกถูกรังแกหรือเปล่า เด็กจำนวนไม่น้อยที่ประพฤติตัวไม่ดีกับที่บ้านเนื่องจากมีสิ่งอื่นที่กวนใจเขา ไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือแม้แต่โลกออนไลน์ การศึกษาพบว่ามีเด็กกว่า 3 ล้านคน ถูกรังแกในแต่ละปี รวมไปถึงการถูก Cyber Bullying ( การระรานและกลั่นแกล้งทางไซเบอ์หรือโซเชียลมีเดีย) เช่นกัน เช็กโปรไฟล์โซเชียลมีเดียของพวกเขาและอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ หาคำตอบว่าพวกเขากำลังถูกรังแกหรือไม่ เพื่อจะได้เข้าใจลูกของคุณมากขึ้น 8.
อย่าแสดงอารมณ์มากเกินไป เมื่อต้องเจอสถานการณ์ที่ลูกดื้อมากๆ คุณพ่อคุณแม่ย่อมมีอารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา และหลายครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็เผลอใช้อารมณ์เพื่อที่จะเอาชนะและหยุดความดื้อของลูกลงให้ได้ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกเป็นไปในทางที่ไม่ดีอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรเตือนตัวเองให้สงบสติอารมณ์ก่อนคิดจัดการกับความดื้อของลูกนะคะ 2. ใช้วิธีพูดคุยและอธิบายให้ลูกฟัง เมื่อลูกดื้อ การใช้อารมณ์ ดุ หรือใช้วิธีรุนแรงอาจหยุดพฤติกรรมไม่น่ารักของลูกได้แค่ชั่วคราว ดังนั้นนอกจากคุณพ่อคุณแม่ควรใจเย็นแล้ว ยังควรใช้วิธีอธิบายเหตุผลให้ลูกเข้าใจว่าทำไมถึงไม่ควรทำแบบนี้ และการดื้อของลูกจะส่งผลอะไรตามมาบ้าง การเจรจา อาจไม่ได้ผลในทันที แต่เมื่อคุณพ่อคุณแม่ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ก็จะช่วยให้ลูกลดพฤติกรรมต่อต้านลงได้ 3. ไม่ทำโทษลูกด้วยการตีหรือวิธีรุนแรง การตีหรือทำโทษลูกด้วยวิธีรุนแรง ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาเด็กดื้อเพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ลูกเข้าใจความผิดของตัวเองอย่างถ่องแท้แล้ว ยังทำให้ลูกรู้สึกไม่ดี ฝังใจ และอาจพยายามหาทางดื้อให้ชนะคุณพ่อคุณแม่ในครั้งต่อไปได้ 4. รักษาสัญญาและคงเส้นคงวาอยู่เสมอ หากคุณพ่อคุณแม่มีสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกับลูก เช่น ตกลงกันว่าลูกต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนออกไปเล่นนอกบ้าน ก็ต้องรักษาสัญญาหรือจริงจังกับข้อตกลงนั้นๆ ไม่ผ่อนปรนโดยไม่มีเหตุผลที่จำเป็น เพราะการเปลี่ยนกฎหรือไม่จริงจังกับข้อตกลง จะทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเคารพกติกาใดๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกแสดงความดื้อออกมาได้ อ้างอิง nhs aliciaclarkpsyd Anittha R หลงรักธรรมชาติของความเป็นเด็ก ชอบดูหนัง ชอบหนังสือนิทาน รักการเลี้ยงต้นไม้ และใฝ่ฝันอยากทำสวนกระบองเพรชที่มีดอกเยอะๆ
หากคุณมีเด็กแสนดื้อ รึแสนซนอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องกังวลไป เพราะไม่เฉพาะคุณคนเดียวที่มี ลองศึกษาเคล็ดลับและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ที่คุณสามารถทำตามได้ เพื่อจัดการกับเด็กจอมซนที่บ้าน แต่บอกไว้ก่อนว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีความแตกต่าง เพราะฉะนั้นบางคำแนะนำอาจใช้ไม่ได้ผลกับเด็กทุกคน แต่เคล็ดลับส่วนใหญ่นั้น ก็เป็นประโยชน์สำหรับคุณและเด็กๆ ของคุณ 1. หาเหตุผลและพยายามเข้าใจ ก่อนที่คุณจะใช้มาตรการรุนแรงกับเขา คุณจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมลูกถึงมีพฤติกรรมเหล่านั้น หลายครั้งที่เด็กแสดงความดื้อเพราะพวกเขารู้สึกแย่และต้องการความสนใจ พยายามสังเกตว่าลูกๆ ของคุณมีปฏิสัมพันธ์กับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร และเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมเขา 2. เช็กสื่อต่างๆ ที่ลูกดู ในการเติบโตนั้น เด็กๆ จะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรายการที่พวกเขาดูทางทีวี YouTube หรือสื่อบันเทิงทั่วไปที่พวกเขาบริโภค หากเด็กได้รับอิทธิพลจากเด็กดื้อคนอื่นๆ จากละครทีวี ก็มีโอกาสที่เขาจะแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาได้ ดังนั้นคุณควรหมั่นตรวจสอบและจำกัดประเภทของเนื้อหาที่ลูกจะสามารถเข้าถึงได้ 3. จำกัดการเข้าถึงเกม วิดีโอเกมสามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของลูกได้มากกว่าที่คุณคิด เช่น หากเด็กๆ เล่นเกมที่มีความรุนแรงก็สามารถทำให้พวกเขามีปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกๆ เล่นเกมที่เหมาะกับวัยของพวกเขา โดยจำกัดการเข้าถึงได้จากคอนโซลเกมของพวกเขา 4.
1 การดุว่า การดุว่าด้วยวาจาในเด็กบางคนก็ได้ผลดี สามารถหยุดการกระทำอันไม่สมควรของเด็ก ควรใช้เมื่อการบอกห้าม และการใช้เหตุผลไม่ได้ผลแล้ว 8. 2 แยกเด็กออกไปอยู่ตามลำพัง เช่น เด็กนักเรียนคนหนึ่งคุยมากขณะเรียน รบกวนคนอื่นบ่อยๆ ก็อาจแยกเด็กไปนั่งคนเดียว หันหน้าเข้ามุมห้อง ทำให้เด็กไม่สนุก เบื่อที่เด็กทั่วไปจะไม่ชอบอย่างมาก 8. 3 การปรับ ให้เด็กรับผิดชอบกับของเสียหายที่เด็กทำไป เช่น เด็กคนหนึ่งโกรธแม่ที่ขัดใจ แล้ววิ่งไปถอนต้นไม้ของแม่ที่เพิ่งปลูก จึงให้แม่หักเงินค่าขนมเด็กทีละเล็กละน้อยชดใช้ค่าต้นไม้ที่ซื้อมา 8. 4 การตี การตีอาจทำให้เด็กหยุดประพฤติที่ไม่พึงประสงค์ได้บางครั้ง แต่การใช้กำลังกับเด็กมีข้อเสียด้วย คือ ถ้าใช้บ่อยๆ จะทำลายความสัมพันธ์ ระหว่าง เด็กและผู้ใหญ่ และเด็กจะใช้วิธีรุนแรงและใช้กำลังบ้าง เพราะเอาอย่างผู้ใหญ่และรู้สึกคับข้องใจที่ผู้ใหญ่ใช้วิธีรุนแรงกับตน เช่น อาจไปชกต่อยเพื่อนที่โรงเรียนบ่อยๆ จนเป็นปัญหาเกิดขึ้น เรียบเรียงโดย: Mamaexpert Editorial Team ขอบคุณข้อมูลจาก: โดย ศ. เกียรติคุณ พญ. นงพงา ลิ้มสุวรรณ