ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดกับภาษาเขียน เป็นการยากที่จะตัดสินว่า คำใดเป็นภาษาพูด คำใดเป็นภาษาเขียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกาลเทศะในการใช้คำนั้นๆ บางคำก็ใช้เป็นภาษาเขียนอย่างเดียว บางคำก็ใช้พูดอย่างเดียว และบางคำอยู่ตรงกลางคืออาจเป็นทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนก็ได้ ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดกับภาษาเขียนพออธิบายได้ดังนี้ ๑. ภาษาเขียนไม่ใช้ถ้อยคำหลายคำที่เราใช้ในภาษาพูดเท่านั้น เช่น เยอะแยะ โอ้โฮ จมไปเลยแย่ ฯลฯ ๒. ภาษาเขียนไม่มีสำนวนเปรียบเทียบหรือคำสแลงที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในภาษาเช่น ชักดาบ พลิกล็อค โดดร่ม ๓. ภาษาเขียนมีการเรียบเรียงถ้อยคำที่สละสลวยชัดเจน ไม่ซ้ำคำหรือซ้ำความโดยไม่จำเป็น ในภาษาพูดอาจจะใช้ซ้ำคำหรือซ้ำความได้ เช่น การพูดกลับไปกลับมา เป็นการย้ำคำหรือเน้นข้อความนั้นๆ ๔.
เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ. ศ. 2562 "หนึ่งภาพแทนอักษรพันคำ" คำนี้เราท่านคงได้ยินกันบ่อย แต่วันนี้จะไปดูในด้านกลับกันบ้าง เมื่อ "หนึ่งอักษรแทนภาพนับพัน" ตัวหนังสือที่ใช้พูด-อ่าน-เขียน ก็มีพัฒนาการไปตามวิถีชีวิตและผู้คนที่ใช้ภาษานั้น ซึ่ง "ภาษาจีน" ที่ยกมานี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาเก่าของแก่โลกที่ใช้สืบเนื่องกันมาไม่เคยขาดช่วงตลอเวลาดหลายพันปี แต่ประเทศที่มีประชาการ 1, 400 ล้านคน มีคนกลุ่มน้อยกว่า 50 กลุ่ม มีภาษาพูด 7 กลุ่มใหญ่ ที่สามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อีกหลายสิบกลุ่ม ตัอวอักษรบนโบรารบนกระดองเต่า (ภาพจาก) ก่อนปี พ. 2462 ภาษาเขียนตามขนบของจีนต่างจากภาษาพูดมาก ภาษาพูดเรียกว่า "ไป๋ฮว่า เหวิน-ภาษาสามัญ" (Modern Chinese หรือ Common Chinese) คือ ภาษาเขียนอย่างภาษาพูดในปัจจุบัน ส่วนภาษาเขียนเรียกว่า "เหวินเหยียนเหวิน-ภาษาคลาสสิค" (Classic Chinese) คือ ภาษาเขียนตามขนบที่สืบทอดกันมา มีต้นเค้าจากตำราของขงจื้อ 2. ตั้งแต่ราชวงศ์โจว (503 ปีก่อนพุทธศักราช-พ. 322) ถึงปี 2462 การเขียนหนังสือราชการ, วรรณกรรมส่วนมาก และการสอบจอหงวน ใช้ "เหวินเหยียนเหวิน" ทั้งหมด ต่อมาสมัยราชวงศ์ฮั่น (พ.