ความโดดเดี่ยว เมืองหลวงมีแสงสีและความศิวิไลซ์ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นความสุขของทุกคน บางคนรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา และว้าเหว่ ทั้งที่มีคนรายล้อมมากมาย เพราะสุดท้ายแล้ว เราต้องการเพื่อนที่ไว้ใจจะเล่าสารทุกข์สุขดิบต่าง ๆ ได้ ต้องการคนที่คอยห่วงใยอย่างจริงใจ ยิ่งมนุษย์อย่างเราเป็นสัตว์สังคม เราคงหลีกเลี่ยงการพบปะสังสรรค์ หรือสร้างความสัมพันธ์ไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เริ่มอยากรู้จักใครแล้วคนนั้นไม่เป็นอย่างที่คิด ก็จะพาลให้อยากใช้ชีวิตเงียบ ๆ คนเดียวมากกว่า จึงกลายเป็นที่มาของคนเมืองจำนวนมากที่มีนิสัยเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม และชอบอยู่คนเดียวมากกว่า ประเภทของโรคซึมเศร้าที่เหล่าคนเมืองต้องรู้! 1. โรคซึมเศร้าแบบร้ายแรง ( Major Depression) ถือว่าเป็น โรคซึมเศร้าที่พบบ่อย ในกลุ่มคนเมืองและหนุ่มสาววัยทำงาน เพราะโรคซึมเศร้าประเภทนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเรื่องรบกวนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน การทำงาน เรื่องเงินทอง การนอนหลับ รวมทั้งนิสัยการกิน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะมีความผิดปกติทางอารมณ์ประมาณ 2 สัปดาห์ โดยจะมีอาการเศร้าสลดอย่างมาก ไม่อยากทำกิจกรรมใด ๆ และย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องเดิม ๆ สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแบบร้ายแรง หากได้รับรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายลงได้ 2.
โลกออนไลน์ ต้องยอมรับว่าสื่อสังคมออนไลน์ หรือ Social Media เข้ามามีบทบาทสำคัญกับหนุ่มสาวยุคใหม่ โดยเฉพาะคนเมืองที่อยู่กับสมาร์ทโฟน และคอนเทนต์ออนไลน์ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นการไถนิวฟีดเพื่ออ่านข่าวบนรถไฟฟ้า หรือนั่งไล่ดูภาพในอินสตาแกรมของเพื่อน ๆ ช่วงพักกลางวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือความคิดของคุณโดยไม่รู้ตัว บ้างก็เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบ บ้างก็ประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำ และก็มีหลายคนที่อ่านข่าวด้านลบมาก ๆ จนทำให้รู้สึกหดหู่และนำไปสู่ความรู้สึกเซ็ง ๆ เศร้า ๆ ที่ต้องอยู่ในสังคมแบบนี้ 3. ค่านิยมของสังคมไทย จะบอกว่าค่านิยมเปลี่ยนไปตามยุคสมัยก็ไม่ใช่ อาจจะต้องพูดว่าเพราะค่านิยมไม่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ทำให้คนเกิดภาวะเครียดขึ้นทุกวี่วัน เพราะยังมีหลายคนมีความเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตคือการทำงานดี ๆ มีสวัสดิการมั่นคง เงินเดือนสูง มีรถขับ มีบ้านสวย ๆ และแต่งงานสร้างครอบครัวที่อบอุ่น จึงยากที่จะคอยหลีกเลี่ยงคำถามจากคนกลุ่มนี้เมื่อต้องพบหน้า ไม่ว่าจะเป็น ป้าข้างบ้านที่คอยถามเรื่องเงินเดือน พี่สาวร้านอาหารตามสั่งที่ถามเรื่องแต่งงานบ่อย ๆ ทำให้เพื่อน ๆ หลายคนรู้สึกเบื่อกับการตอบคำถามและพาลไม่อยากพบเจอใครในที่สุด 4.
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชที่มีผู้เป็นจำนวนไม่น้อย โดยอัตราการเสียชีวิตของหนุ่มสาวที่สูงขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ตัวเองอยู่ในภาวะ ซึมเศร้า นั่นเอง โรคนี้บางคนเป็นโดยที่ตัวเองไม่ทราบ คิดว่าเป็นเพราะตนเองคิดมากไปเองก็มี ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก การเปลี่ยนแปลงหลักๆ จะเป็นในด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม ร่วมกับอาการทางร่างกายต่างๆ ซึ่งสามารถสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้ 1. อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป จะกลายเป็นคนเศร้า หดหู่ สะเทือนใจง่าย ร้องไห้บ่อย เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ดูเหมือนจะอ่อนไหวไปหมด บางคนอาจมีความรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งเดิมที่ตนเคยทำแล้วเพลินใจหรือสบายใจ เช่น ฟังเพลง พบปะเพื่อนฝูง เข้าวัด ก็ไม่อยากทำ หรือทำแล้วก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้น บ้างก็รู้สึกเบื่อไปหมดตั้งแต่ตื่นเช้า บางคนอาจมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่ใจเย็นเหมือนก่อน 2.
รู้สึกกระวนกระวาย และกังวลมาก เพียงรู้ว่าต้องอยู่คนเดียว 2. หวนคิดถึงความรู้สึกตอนที่อยู่คนเดียวขึ้นมาและเกิดอาการหายใจไม่สะดวกใจสั่น หน้ามืด เหงื่อแตก อาเจียน ตัวสั่น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เจอสถานการณ์ที่กลัวเลยก็ตาม (เป็นผลจากความวิตกกังวลมากเกินไป) 3. หากอยู่ในที่สาธารณะคนเดียวมักจะมีอาการประหม่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง 4.
"รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง คิดว่าตัวเองล้มเหลว กลัวทำให้ทุกคนผิดหวัง จนไม่อยากเจอใคร กังวล ระวังตัว และกลัวทุกอย่าง... " สาว ๆ มีความคิดเหล่านี้กันอยู่หรือเปล่าคะ? นี่คือหนึ่งในอาการเริ่มต้นของคนที่เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า หรือกำลังเป็นโรคซึมเศร้า สาว ๆ อาจคิดว่า ความคิดข้างต้นเป็นแค่ "อารมณ์" ที่ผ่านเข้ามา พอช่วงเวลาผ่านไปมันคงดีขึ้น แต่แล้ว... ถ้ามันไม่ดีขึ้นล่ะ? ตอนนี้อาจมีหลายคน เลือกอดทนกับความรู้สึกเหล่านั้นต่อไปเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าจะจัดการกับมันได้ โรคนี้อาจเกิดขึ้นได้จากอารมณ์เศร้าหมองและความตึงเครียดสะสม หรือเกิดได้จากสารเคมีในสมอง สารสื่อประสาทที่ทำงานบกพร่อง เป็นโรคทางจิตใจที่จับต้องได้ยากมากเลยค่ะ มีอีกหลายคนที่เป็นโรคนี้แบบไม่รู้ตัวอยู่แน่นอน เพราะงั้นอย่าปล่อยให้โรคนี้คอยกัดกินและบั่นทอนจิตใจของเราไปเรื่อย ๆ เรามาทำความรู้จักโรคนี้กันสักหน่อย แล้วมาเช็กอาการของโรคซึมเศร้ากันดีกว่าค่ะ อารมณ์เศร้า ภาวะซึมเศร้า โรคซึมเศร้า ต่างกันอย่างไร?
สมาธิความจำแย่ลง จะหลงลืมง่าย โดยเฉพาะกับเรื่องใหม่ๆ วางของไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก ญาติเพิ่งพูดด้วยเมื่อเช้าก็นึกไม่ออกว่าเขาสั่งว่าอะไร จิตใจเหม่อลอยบ่อย ทำอะไรไม่ได้นานเนื่องจากสมาธิไม่มี ดูโทรทัศน์นานๆ จะไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือได้เพียงไม่นาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานผิดๆ ถูกๆ 4. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปลี่ยนไป ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะดูซึมลง ไม่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนก่อน จะเก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยพูดจากับใคร บางคนอาจกลายเป็นคนใจน้อย อ่อนไหวง่าย ซึ่งคนรอบข้างก็มักจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป บางคนอาจหงุดหงิดบ่อยกว่าเดิม 5. อาการโรคจิต จะพบในรายที่เป็นรุนแรง ซึ่งนอกจากผู้ที่เป็นจะมีอาการซึมเศร้ามากแล้ว จะยังพบว่ามีอาการของโรคจิตได้แก่ อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนร่วมด้วย ที่พบบ่อยคือ จะเชื่อว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง หรือประสงค์ร้ายต่อตนเอง อาจมีหูแว่วเสียงคนมาพูดคุยด้วย อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับการรักษา อารมณ์เศร้าดีขึ้น อาการโรคจิตก็มักทุเลาตาม อย่างไรก็ตาม การรักษาผู้ที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้านี้ ครอบครัว และญาติพี่น้อง ถือเป็นคนสำคัญที่สุด หากครอบครัวมีความรู้ ความเข้าใจ ก็เป็นส่วนสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วย และช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการดูแลรักษาตัวเองต่อไป นอกจากนี้ สสส.
ในโรคอารมณ์แปรปรวน ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับโรคซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง และมีอยู่บางช่วงที่มีอาการออกมาในลักษณะตรงกันข้ามกับอาการซึมเศร้า เช่น อารมณ์ดีเบิกบานมากผิดปกติ พูดมาก ขยันมาก เชื่อมั่นตัวเองมากกว่าปกติ ใช้เงินเปลือง เป็นต้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกระยะนี้ว่า ระยะแมเนีย ผู้ที่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนบางครั้งจะมีอาการของโรคซึมเศร้า บางครั้งก็มีอาการของภาวะแมเนีย 4. พบบ่อยว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการวิตกกังวล ห่วงโน่นห่วงนี่ ซึ่งเป็นอาการหลักของโรควิตกกังวล ที่ต่างกันคือในโรควิตกกังวลนั้น จะมีอาการหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น สะดุ้ง ตกใจง่าย ร่วมด้วย อาการเบื่ออาหารถึงมีก็เป็นไม่มาก น้ำหนักไม่ลดลงมากเหมือนผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และโรคซึมเศร้านั้นนอกจากอาการวิตกกังวลแล้วก็จะพบอาการซึมเศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต ร่วมด้วยโดยที่อาการอารมณ์เศร้านี้จะเห็นเด่นชัดกว่าอาการวิตกกังวล โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลสุขภาพ หรือโทร. 1719 ขอบคุณที่มา: ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ
Positive Thinking การมองโลกในแง่ดี ช่วยลดความวิตกกังวลได้จริง โดยอาจจะเริ่มจากฝึกคิดในมุมบวก ฝึกมองเรื่องต่างๆ รอบตัวในมุมบวก ฝึกมองผู้อื่นในแง่ดี และรู้จักชื่นชมคนอื่น หากทำได้จะเป็นการเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตของคุณได้มากขึ้นแน่นอน และอย่าลืมว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกอย่าลืมครอบครัวและเพื่อนฝูง คุณสามารถเปิดใจและพูดคุยกับพวกเขาได้ตลอดเวลา
คุณเข้าข่ายหรือเปล่า - เช็ก! แบบทดสอบโรคซึมเศร้า ดูว่าเราเสี่ยงป่วยหรือไม่ ดังนั้นใครที่รู้สึกว่ากลัวการอยู่คนเดียวมาก ๆ กลัวความรู้สึกว่าถูกทิ้ง ไม่ได้รับความรัก ความสนใจอย่างมากเกินปกติ แนะนำให้รีบปรึกษาจิตแพทย์ก่อนในเบื้องต้น เพราะโรคทางจิตเวชทุกโรค ยิ่งรู้ตัวไวยิ่งรักษาให้หายขาดได้ง่ายมากขึ้นนะคะ อ้อ! ยังมีอีกเรื่องที่อยากให้เป็นเกร็ดความรู้ด้วยค่ะว่า โรคกลัวการอยู่คนเดียว ไม่ใช่โรคกลัวการเป็นโสดนะคะ มีความแตกต่างกันอยู่หลายประเด็นพอสมควรเลยล่ะ - กลัวขึ้นคานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มาเช็ก 9 อาการที่ส่อเค้าว่าเป็น Anuptaphobia โรคกลัวการเป็นโสด ภาพจาก ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊กสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย medicalnewstoday healthline psychologistanywhereanytime เรื่องที่คุณอาจสนใจ